สำหรับครอบครัวของทิวัตถ์อาจจะไม่ใช่คนร่ำรวย แต่ก็มีอันจะกิน ด้วยพ่อก็เป็นเจ้าของบังกะโลขนาดกลางบนเกาะพะงัน ที่เน้นความเป็นกันเอง คนเลยเอาไปบอกปากต่อปาก แล้วไม่รู้ทำไมไม่ค่อยบอกกันในไทย แต่ชื่อเสียงดันไปไกลถึงต่างประเทศ เลยมีลูกขาทั้งขาประจำและขาจรมาเข้าพักเพื่อเยี่ยมชมความงามของท้องทะเลไทย
ไม่สิ บางพวกก็มานี่เพราะ...ฟูลมูนปาร์ตี้
“ไอ้หัวทองนี่น่าจะอย่างหลัง” ไทป์ยักไหล่ เกือบจะหันไปสนใจอย่างอื่นแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะรู้สึกถึงสายตาที่เหลือบมองมาทางนี้หลายต่อหลายครั้ง
มองอะไรวะ
หนุ่มใต้ขมวดคิ้ว พยายามปัดไล่ความคิดที่ว่ามันมองมาแปลกๆ ออกไปจากหัวเพราะยังไงก็เป็นแขก เลยเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อไปถามอนงานในรีสอร์ทว่ามีอะไรให้ทำมั้ย แต่ระหว่างเดินหางานก็ไม่วายจะควักโทรศัพท์ขึ้นมามอง
“กูไม่ได้อยากคุยกับมึง แค่จะโทรถามว่าตาขไปหรือยัง” ไทป์ย้ำเตือนตัวเองแล้วต่อสาย
[คิดถึงกูละสิ]
“สัส!”
ไม่ต้องรอสัญญาณนานเกินหนึ่งครั้งด้วยซ้ำ เสียงนุ่มๆ ก็ดังขึ้น หากแต่สิ่งที่ไอ้ธารพูดก็ทำให้ไอ้ไทป์ด่ากลับทันควันได้เหมือนกัน
“กวนตีนนะมึง”
[กูกวนตีนมึงตอนไหน กูแค่ถาม]
“งั้นคำตอบกูคือไม่ เพิ่งแยกกับมึงเมื่อวาน คิดถึงห่าเหวอะไร”
[เออ เพิ่งแยกกันเมื่อวาน แต่มึงก็โทรหากูวันรุ่งขึ้นเลยนะ]
ไอ้เหี้ย
แน่นอนว่าไทป์ขมวดคิ้ว ตาวาว ทำท่าเหมือนอยากจะขย้ำคออีกฝ่าย ทั้งที่สะอึกกับคำพูดของมันเหมือนกัน
เออเพิ่งแยกกันเมื่อวาน แล้วกูโทรหามันทำไมวะ
ทว่า ความเงียบแบบนี้ก็เหมือนจะบอกอีกฝ่ายว่ากำลังเล่นกับเส้นความอดทนของทิวัตถ์อยู่ เพราะธาราเป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง
[มึงเถอะ ถึงบ้านแล้วใช่มั้ย เป็นไงบ้าง]